บรรยาย chapter 26

 



รูปภาพที่กำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ทำเอาทั้งกลัวและตื่นเต้นไปในเวลาเดียวกัน หลังจากเมื่อวานที่ภีมกะจะไปพักผ่อนหย่อนใจที่บ้านก็อต คิดหาคำพูดที่จะเอาไว้ตอบแม่ว่าภูผาหายไปไหน แต่เจ้าตัวดันตัดสินใจนอนค้างไปเลยก็แล้วกัน โดยส่งข้อความไปบอกผู้เป็นแม่ว่าคืนนี้จะนอนบ้านใคร


แต่ตอนนี้ภีมอยู่ในห้องแม่คนเดียว เพราะเขาไม่กล้าทำอะไรในห้องนอนของตัวเองอีกแล้วถ้าภูผาอยู่ในห้อง ภีมตัดสินใจคว้ากล้องที่ตั้งไว้บนหลังตู้เสื้อผ้ามาเปิดดูภาพเหตุการณ์ย้อนหลังแล้วเข้ามาที่ห้องแม่ ก่อนที่แม่จะเดินสวนภีมออกไปเตรียมตัวใส่บาตรหน้าบ้าน


เนื่องจากเป็นเวลาเพียงแค่เจ็ดโมงจึงไม่ค่อยมีแสงแดดส่องมากนัก ในห้องมีความเย็นของแอร์ที่เพิ่งปิดไปไม่นาน กับความมืดที่สายตาพอปรับการมองเห็นได้


หลังจากที่แชทกับก็อตเสร็จ เจ้าตัวปิดมือถือและคว่ำโทรศัพท์ไว้ข้างๆ หย่อนขาสองข้างลงเตียงพลางจ้องมองไปที่วิดีโอ


“ฟู่ววว..”


เขาพ่นลมหายใจออกสั้นๆ ก่อนจะกดปุ่มเล่นคลิปโดยย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อเวลาห้าโมงเย็น ทิวทัศน์ที่กล้องจับได้จากมุมสูงหลังตู้เสื้อผ้ามุมห้องทำให้เห็นทุกอย่างในห้องอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ายังไร้วี่แววที่ภูผาเข้าห้องมา ภีมจึงกดเร่งคลิปความเร็ว 4 เท่า จากห้าโมงเย็น กลายเป็นห้าโมงครึ่ง หกโมงเย็น หกโมงครึ่ง หนึ่งทุ่ม… สองทุ่ม… สามทุ่ม…


แต่เดี๋ยวก่อน เร่งเร็วเกินไปจนทำให้กล้องจับสิ่งผิดปกติได้บางอย่าง ภีมย้อนกลับไปที่เวลาสามทุ่มสิบนาทีตรงที่เห็นร่างคนแวบๆหลุดเข้ามาในเฟรม แต่พอย้อนคลิปกลับมาก็ไม่เจออะไร


“กูตาฝาดเหรอวะ”


ไม่ว่าภีมจะย้อนคลิปหรือเร่งคลิปกี่รอบก็ไม่เห็นรูปร่างคนที่ปรากฏอยู่ในภาพอีก ลักษณะที่เห็นคือเข้ามาหยุดอยู่ที่โต๊ะของภูผาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น และแน่นอนว่ามันไม่ใช่พ่อแน่ๆ เพราะพ่อจะไม่เข้าห้องลูกถ้าพ่อไม่บอกก่อน


ภีมกดดำเนินคลิปต่อไปจนถึงเวลาสามทุ่มครึ่ง ก่อนจะปรับความเร็วให้เป็นปกติ ภาพในกล้องฉายให้เห็นแสงด้านหลังประตูค่อยๆเปิดพร้อมกับภูผาเดินเข้าห้องมาอย่างนิ่งเฉย เมื่อภูผาปิดประตูลง ในห้องก็กลับมามืดอีกครั้ง แต่ด้วยความที่กล้องสามารถใช้โหมดอินฟาเรตได้อัตโนมัติจึงทำให้ภีมสามารถมองเห็นทุกๆอย่างในห้องผ่านกล้องของเขา


ใบหน้าของภีมเริ่มมีเหงื่อออกเป็นเม็ดกับฝ่ามือที่เปียกชื้น ดวงตาสีเทาวิเคราะห์สถานการณ์ที่กำลังจะได้เห็นต่อไปนี้ พฤติกรรมที่ภูผาแสดงให้เห็นช่วงแรกยังดูปกติทุกอย่าง ถอดกระเป๋าวางไว้บนโต๊ะของตัวเอง ล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงมาเช็คดู สิ่งที่ภีมเห็นมันคือการกระทำที่ปกติมากๆเพราะภูผาก็ชอบทำแบบนี้ในทุกๆวัน แต่ที่แปลกคือทำไมไม่เปิดไฟในห้อง?


ภูผาหยิบไดอารี่ขึ้นมาเขียนโดยปราศจากแสงไฟ แต่สิ่งที่ภูผากำลังเขียนลงไปมันน่าพิลึกชอบกล ภูผาละเลงเขียนมั่วตั้วไม่เป็นตัวอักษรลงที่หน้ากระดาษ จนกระดาษเริ่มเป็นรูปร่างหน้าผีที่เต็มไปด้วยเส้นสีดำ ถึงกล้องจะตั้งอยู่สูงแต่ก็สามารถซูมให้เห็นได้นิดนึง


พฤติกรรมนิ่งๆที่ภูผาแสดงออกมามันช่างน่าขนลุก บวกกับโหมดอินฟาเรตที่ทุกอย่างเป็นสีเขียวยิ่งทำให้สั่นประสาทเข้าไปใหญ่ มันน่าขนลุกตรงที่ภีมรู้อยู่แก่ใจว่าแฝดพี่ตัวเองตอนนี้ไม่ใช่คน


“อึก..”


ภีมกลืนน้ำลาย ลมหายใจเริ่มสั่นเทา ภูผาจะชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นออกจากเก้าอี้อย่างช้าๆ.. หันซ้ายมาทางตู้เสื้อผ้าพร้อมกับขยับร่างกายมาหยุดอยู่หน้าตู้ และแน่นอนว่าภูผาจงใจจะให้กล้องเห็นทุกอย่างที่กำลังจะทำต่อไปนี้


“ช..เชี่ย”


สิ่งที่ภีมคิดอยู่ในหัวมันก็เป็นจริง ภูผาเงยหน้าขึ้นมามองกล้องพร้อมแสยะยิ้ม เอียงคอซ้ายขวาไปมาอย่างเงอะงะ ดวงตาเล็กๆเปลี่ยนเป็นสีขาวกรอกตาไปมาจนภีมจิตตก


“นี่มันอะไรวะเนี่ย!“


ภูผาอ้าปากเหมือนพูดอะไรสักอย่าง แต่เหมือนภีมจะได้ยินเสียงกระซิบอย่างกับหลุดออกมาจากในคลิปว่า กูจะเอามันไปอยู่ด้วย กูจะเอามันไปอยู่ด้วย กูจะเอามันไปอยู่ด้วย พูดซ้ำๆวนไปวนมาจนภีมรู้สึกว่าต้นตอของเสียงมันอยู่ข้างหน้าเขา


ภีมไม่สามารถละสายตาออกจากภาพในคลิปได้อย่างกับโดนผีอำ นิ้วโป้งพยายามกดหยุดคลิปแต่ก็ไม่เป็นผล


พรึ่บ!


จนกระทั่งภาพทั้งหมดในคลิปตัดเป็นสีดำเหมือนอยู่ดีๆกล้องก็ตัดจบไปซะดื้อๆ ภีมหายใจรั่วถี่จนแทบควบคุมจังหวะการหายใจไม่ได้ เขามองใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนผ่านจอกล้องเรือนราง


เมื่อคลิปหยุด อารมณ์ที่สวิงก็หยุดนิ่งไปตามคลิป ให้ความรู้สึกว่าเหตุการณ์ในคลิปมันสงบลงแล้วดั่งตุ๊กตาหน้ารถที่ค่อยๆหยุดแกว่งเมื่อรถจอด


หลังคอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กับมือที่เปียกชื้นคู่นั้น ภีมพับจอกล้องเก็บก่อนจะเหลือบเห็นนิ้วเท้าคู่หนึ่งที่มันมาอยู่ข้างหน้าภีมตอนไหนก็ไม่รู้ กับกลิ่นลมหายใจเหม็นสาปมันมาจ่ออยู่ที่หน้าพร้อมกับเสียงกระซิบเย็นๆว่า ”ดูจบแล้วเหรอ“


“ฮึก!?”


ภีมตกใจสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกโพลงเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับหน้าของใครบางคน รูปร่างเงาดำทมิฬเห็นเพียงดวงตากับรอยยิ้มน่าสยดสยองโน้มตัวลงมาจ้องหน้าภีมแบบไม่ขยับ


ภีมไม่รู้ตัวเลยว่าภูผาเข้าห้องมาตอนไหน ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเปิดประตูถึงแม้ว่าประตูที่อยู่ข้างหลังภูผาจะถูกเปิดออกกว้าง


ภีมหลับตาปี๋ทิ้งกล้องในมือตกลงพื้นจนเสียงดัง พนมมือพร้อมท่องบทสวดได้เพียงแค่นะโมตัสสะวนไปวนมาไม่รู้กี่จบ อยากจะท่องคาถาไล่ผีแต่ก็ไม่รู้ว่าท่องยังไง


“ฮือออ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ นะโมตัสสะ—“


“ชู่ววว.. ไม่ได้ต้องการส่วนบุญ


เสียงกระซิบเย็นยะเยือกพูดขัดจังหวะอีกเช่นเคย ภีมไม่รู้ว่าตอนนี้ภูผาทำหน้าตายังไงอยู่เพราะไม่กล้าลืมตามอง ได้แต่ท่องบทสวดจนเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ชันเข่าขึ้นบนเตียงพร้อมพนมมือกอดเข่าตัวเองไว้ นึกถึงพระพุทธรูปทุกองค์ในบ้านและหน้าของพ่อแม่


ภูผาปล่อยเสียงขำแห้งๆอย่างสะใจเบาๆ ภีมอยากหนีออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแต่ก็ไม่อาจทำได้ร่างกายมันหนักเหลือเกิน


ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!


เสียงกรีดร้องในใจดังกึ่งก้องไปทั่วหัว เมื่อไหร่แม่จะใส่บาตรเสร็จสักที ทนไม่ไหวแล้ว!


“ภีม!”


“อ๊ากกก!!!?”


เสียงเรียกของผู้หญิงพร้อมกับฝ่ามืออุ่นแตะลงที่ไหล่ของลูกชาย ภีมร้องออกมาเฮือกสุดท้ายก่อนจะตั้งสติได้ในทันทีเมื่อเห็นแม่ตัวเอง


“เป็นอะไรลูก!?”


ภีมไม่ตอบ ได้แต่มองหน้าแม่พลางคิดว่าตัวเองฝันไปรึเปล่า แต่สีหน้าของเขายังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นั่นจึงทำให้แม่เริ่มวิตกกังวล ภีมหันหน้าหันหลังกวาดสายตามองทั่วห้องเหมือนคนเสียสติ


“ตั้งสติสิลูก! เป็นอะไร!?“


“แม่ ภูผาล่ะ”


ก็นอนอยู่ในห้องไง ยังไม่ตื่นเลย


“…”


“หนูเป็นอะไรบอกแม่สิลูก แม่ใจไม่ดีนะ!”


ผู้เป็นแม่โผลเข้ากอดภีมแน่น สัมผัสได้ถึงความอุ่นจากร่างกายของแม่ก็ทำให้ภีมเริ่มใจเย็นลงมากขึ้น พลางนึกถึงเหตุการณ์ที่โดนหลอกเมื่อกี้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ภีมยังไม่อยากปักใจเชื่อมากนักว่าแฝดพี่ตัวเองกลายเป็นผีไปแล้ว เขายอมรับความจริงไม่ได้ แต่ถึงยังไงก็อยากทำให้พี่กลับมาเป็นคนให้ได้เหมือนเดิมถึงแม้ว่าความคิดจะดูตลกไปหน่อย


คนตายไปแล้วจะทำให้กลับมามีชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน?

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น